rebel moon review Rebel Moon Part One: A Child of Fire Rebel Moon ภาค 1: บุตรแห่งเปลวไฟ หลังจาก แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) พ้นร่มเงาของ DC ในฐานะโต้โผใหญ่แห่ง Snyderverse จักรวาลซูเปอร์ฮีโรฉบับ Epic Dark Hell ของ DCEU สไนเดอร์ก็เลยหันมาปั้นงานออริจินัลของตัวเองกับทาง Netflix เริ่มตั้งแต่การส่งหนังซอมบี้ rebel moon
‘Army of the Dead’ (2021) รวมทั้งดูแลงาน Prequel netflix 2024 หนังปล้นคนเจาะเซฟ ‘Army of Thieves’ (2021) และคราวนี้ พี่สไนเดอร์ก็ขอนำเสนอวิสัยทัศน์ Epic Dark Hell ในรูปแบบของหนังผจญภัยไซไฟอวกาศใน ‘Rebel Moon’ ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค ทั้งภาคนี้ ‘A Child of Fire’ หรือ ‘บุตรแห่งเปลวไฟ’ และภาค 2 ‘The Scargiver’ หรือ ‘นักรบผู้ตีตรา’ ที่จะเข้าวันที่ 19 เมษายน 2024 และทั้ง 2 ภาคก็จะมีฉบับ Director’s Cut ที่เป็นเรต R ออกมาให้ชมกันภายหลังด้วยครับ the rebel moon
rebel moon review ตำนานกว่าจะมาเป็น ‘Rebel Moon’ เองก็น่าสนใจครับ เพราะนี่คือโปรเจกต์สร้างจักรวาลในฝันของพี่เขาเลยแหละ โดยได้แรงบันดาลใจของเรื่องราว และสไตล์จากป๊อปคัลเจอร์ยุค 80s ทั้ง ‘Star Wars’ นิตยสารคอมิกแนวไซไฟ ‘Heavy Metal’ หนังอัศวินโต๊ะกลม ‘Excalibur’ (1981) ผสมกับพล็อตแนว ‘Seven Samurai’ (1954) หรือ ‘เจ็ดเซียนซามูไร’ หนังซามูไรของ อะกิระ คุโรซาวะ (Akira Kurosawa) แต่เดิม สไนเดอร์เคยเสนอบทนี้ให้กับทาง Lucasfilm เพื่อหวังจะพัฒนาต่อเป็นหนัง Star Wars ภาคใหม่ แต่จังหวะดันมาตกช่วงอีนุงตุงนังตอน Disney เข้าซื้อกิจการในปี 2012 พอดี ก็เลยไม่ได้ถูกหยิบเอามาสร้าง
จุดเด่น
- แอ็กชันเถื่อน ๆ ตามสไตล์สไนเดอร์มีอยู่ครบ ใครที่ชอบงานของเขาอยู่แล้วก็น่าจะชอบได้ไม่ยาก
- เป็นหนังที่ดูเอาบันเทิงด้วยฉากแอ็กชันแรง ๆ ที่น่าจะสะใจคอหนังแอ็กชันได้พอสมควร rebel moon
- โซเฟีย บูเตลลา มีเสน่ห์และการแสดงที่ยังสามารถดึงผู้ชมให้ติดตามหนังได้อย่างน่าสนใจ
จุดสังเกต
- บท ปูมหลัง+มิติตัวละคร และการเล่าเรื่อง ไม่สามารถสร้างจักรวาลได้อย่างที่ควรจะเป็น
- งานสร้างบางฉากยังแบน ๆ + งาน CGI บางจุดยังลอย ๆ แต่โดยรวมไม่แย่ netflix 2024
- เสียดายการอธิบายปูมหลังตัวละครที่ทำให้เคมีไม่เข้ากัน และไม่ได้รู้สึกถึงความเจ๋งของตัวละครมากเท่าที่ควร
ความเป็นไปเป็นมาของหนัง
สไนเดอร์ก็เลยเอาบทหนังแนวไซไฟแฟนตาซี ที่เขาเขียนร่วมกับ เคิร์ต จอห์นสตาด (Kurt Johnstad) ผู้เขียนบท ‘300’ ทั้ง 2 ภาค และ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ผู้เขียนบท ‘Army of the Dead’ และ ‘Army of Thieves’ เรื่องนี้มาเปลี่ยนเป็นงานออริจินัลของตัวเอง ซึ่ง Netflix เองก็ปล่อยให้สไนเดอร์มีส่วนร่วม งัดของมาโชว์แบบเต็มสูบ แถมตอนนี้พี่แกยังวางแผนจะสร้างจักรวาล ทั้งการปล่อยแอนิเมชัน เกม คอมิก นิยาย พอดแคสต์ ผีบ้าผีบออีกมากมาย เพื่อรองรับจักรวาลที่กินระยะเวลาถึง 800 ปีไว้แล้วด้วยนะ rebel moon
‘Rebel Moon Part One: A Child of Fire’ เล่าเรื่องหลังจากการปฏิวัติหลังเกิดความวุ่นวาย หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหาร กษัตริย์ ราชินี และเจ้าหญิงแห่งดาวมาเธอร์เวิลด์ (Motherworld) จอมทรราชย์ บาลิซาเรียส (ฟรา ฟี – Fra Fee) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้สั่งให้ พลเรือเอกโนเบิล (เอ็ด สไครน์ – Ed Skrein) ออกตามล่าล้างผู้ที่คิดก่อกบฏ ในอีกด้านหนึ่ง ดวงจันทร์แห่งเวลท์ (Veldt) ที่อยู่อาศัยของชาวนาผู้ทำการเกษตรอย่างสงบที่สุดขอบจักรวาลไกลโพ้น แต่แล้วพลเรือเอกโนเบิลค้นพบว่า ชาวนาเหล่านี้ลักลอบขายพืชผลให้แก่กลุ่มกบฏที่นำโดยสองพี่น้องบลัดแอ็กซ์ เดฟรา (คลีโอพัตรา โคลแมน – Cleopatra Coleman) และ แดร์เรียน (เรย์ ฟิชเชอร์ – Ray Fisher) จึงได้ส่งกองทัพลงมาโจมตีและคุกคามผู้บริสุทธิ์ rebel moon
โครา (โซเฟีย บูเตลลา – Sofia Boutella) หญิงสาวชาวนาลึกลับ และ กุนนาร์ (มิคิล เฮาส์แมน – Michiel Huisman) ชาวนาผู้ไร้ทักษะสงคราม จึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหากองทัพของบลัดแอ็กซ์ รวบรวมอดีตนักรบ netflix 2024 ฝีมือดี ทั้ง ไค (ชาร์ลี ฮันแนม – Charlie Hunnam) ทหารรับจ้าง, ทารัค (สตาซ แนร์ – Staz Nair) อดีตเชลยสงคราม, นายพลไททัส (ไจมอน ฮอนซู – Djimon Hounsou) อดีตผู้บัญชาการสงคราม, เนเมซิส (แบดูนา – Bae Doo-na) ปรมาจารย์นักดาบหญิง ร่วมมือร่วมใจกันโค่นล้มอำนาจเผด็จการที่ยึดครองมาเธอร์เวิลด์ให้จงได้
ความบันเทิงที่หนังเรื่องนี้นำเสนอได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบรรดาฉากแอ็กชันเถื่อน ๆ นั่นแหละ ที่คอยกระตุกกราฟความน่าสนใจของหนังได้อยู่เรื่อย ๆ แหละ โดยรวมก็ยังถือว่ายังเป็นหนังที่ยังมีความโหด จังหวะหักมุมที่ยังมีความน่าติดตามอยู่ แต่ดูเหมือนสไนเดอร์เองก็ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่อง และลดสัดส่วนงานแอ็กชันลงไป แอ็กชันในหนังเลยออกไปทางธรรมดา ไม่ได้มีฉากจำเป็นพิเศษ รวมทั้งบรรดาช็อตโชว์สโลว์โมชันที่เยอะจนพร่ำเพรื่อ แถมยังไปทำให้จังหวะแอ็กชันเร็ว ๆ แรง ๆ กลายเป็นแอ็กชันโชว์ที่ฟุ้งเฟ้อ พาให้จังหวะของหนังมีความหนืดพอสมควร แม้หนังจะมีจังหวะเปิดเข้าเรื่อง เดินเรื่องที่เร็วมากก็ตาม the rebel moon
สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของหนังเรื่องนี้คือ ?
บทที่ไม่สามารถอุ้มแบกทุกอย่างมาประสานและสร้างจักรวาลอันกว้างไกลได้อย่างมีเอกภาพ และทำให้คนดูเห็นบริบท และมิติเชิงลึกของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ได้อย่างถ่องแท้และน่าติดตาม ทั้งการออกแบบงานสร้างที่เอาเทคนิค The Volume มาใช้ ผสมกับการออกแบบเซ็ตติงดวงดาวบางดวงที่ยังรู้สึกว่าธรรมดา และบางดาวก็ดูทื่อ ๆ แบน ๆ ไปหน่อย รวมทั้งงาน CGI ที่โดยรวมถือว่าไม่แย่นะครับ อลังการใช้ได้เลย แต่บางจุดก็ยังแอบลอย ๆ จนเหมือนงานแอนิเมชันไปเลยก็มี netflix 2024
ยอมรับแหละว่าพี่สไนเดอร์แกเก่งด้านวิสัยทัศน์ในแง่ของวิชวล แอ็กชันเท่ ๆ ไดอะล็อกฟุ้ง ๆ ลิเกหน่อย ๆ ซึ่งถ้าจับคู่กับบทที่ดีและเล่าเรื่องคม ๆ มันก็จะออกมาน่าสนใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้ก็คือ ทิศทางการเล่าเรื่อง การปูแบ็กกราวนด์ที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ และขาดทิศทางการเล่าเรื่องที่ดี the rebel moon จนทำให้ไม่สามารถสร้างจักรวาลได้ออกมาอย่างน่าพอใจนัก ไล่ไปตั้งแต่การขาดการอธิบายปูมหลังที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งงานสร้าง งานดีไซน์บางจุดที่หลุดโลกจนเกินความเข้าใจ การอธิบายภาพวิกฤติโดยรวมของจักรวาลที่ยังไม่ได้รับการให้ข้อมูลที่เห็นภาพได้มากเพียงพอ ยิ่งพอเจอการเล่าเรื่องแบบเร็ว ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่สามารถเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมด้วยได้จริง ๆ