Jurassic World Dominion หลังจากเหตุการณ์ กดปุ่ม’ ใน ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของบทสรุปไตรภาคไดโนเสาร์ครองโลกใน ‘Jurassic World Dominion’ (2022) หรือ ‘จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของไตรภาคจูราสสิค เวิลด์ (Jurassic World) netflix movie และภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ในจักรวาลจูราสสิค นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ภาคแรก ‘Jurassic Park’ (1993) ออกฉายเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วโน่น หนัง netfilx
จุดเด่น
- Jurassic World Dominion จัดเต็มด้านโปรดักชันและบทที่เล่นใหญ่สมคำร่ำลือ
- งานแอ็กชัน สยองขวัญสนุกตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้
- ไดโนเสาร์จัดเต็ม เยอะและสมจริงกว่าเดิม น่ารักและน่ากลัวกว่าเดิม
- แบ่งสมดุลนักแสดงเก่า-ใหม่ได้ลงตัวดี
จุดสังเกต
- ไคลแม็กซ์และบทสรุปที่เพลย์เซฟไปหน่อย
- บทสรุปดูธรรมดาไปหน่อย
- ไม่ค่อยเข้าใจเส้นเรื่องบางเส้นที่เพิ่มเข้ามา
แต่กว่าที่น้องบลู และเหล่าไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิกจะได้กลับมาโลดแล่นกันในปีนี้ ตัวหนังก็ถือว่าต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากพอสมควร ทั้งกระแสจากภาคที่แล้ว ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ผลงานการกำกับของ ‘เจ. เอ. บาโยนา’ (J. A. Bayona) ที่ได้คะแนนมะเขือเน่าจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เพียงแค่ 47% ต่ำที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์จูราสสิก พาร์ก แม้จะทำรายได้ค่อนข้างดี แต่พอออกทรงลูกผีลูกคนขนาดนี้ อาจารย์ปู่ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) Executive Producer เจ้าของแฟรนไชส์ เลยเรียกตัว ‘โคลิน เทรวอร์โรว์’ (Colin Trevorrow) ผู้กำกับจาก ‘Jurassic World’ (2015) กลับมากำกับในภาคนี้อีกครั้ง
อีกอุปสรรคใหญ่ยิ่งกว่าน้อนไดโนเสาร์กิแกนโนโตซอรัส (Giganotosaurus) ก็คือ ช่วงเดือนมีนาคม 2020 กองถ่ายต้องหยุดถ่ายทำทั้งที่เพิ่งเปิดกล้องไปได้แค่ 13 วัน เพราะการระบาดของโควิด-19 ทีมงานเลยต้องทำงานโพสต์โปรดักชัน และงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์กับฟุตเทจที่ถ่ายมาได้ไปพลาง ๆ และจำต้องยอมเลื่อนกำหนดฉายจากเดิมที่วางแผนฉายในปี 2021 ออกไปอีก 1 ปีเต็ม
สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในเดือนกรกฏาคม 2020 ทางยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (Universal Studios) จึงยอมควักเงินอีก 5 ล้านเหรียญสำหรับเซ็ตมาตรการความปลอดภัย ถือว่าเป็นกองถ่ายแรก ๆ ที่กลับมาเริ่มถ่ายทำอีกครั้งหลังการระบาดครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การร่างเอกสารคู่มือมาตรการจำนวนนับร้อยหน้า แจกให้กับนักแสดงและทีมงานทุกคน มีจุดตรวจคัดกรอง มีห้องฉุกเฉินในกองถ่ายกรณีพบผู้ติดเชื้อ นักแสดงและทีมงานจะต้องกักตัวในโรงแรมที่ยูนิเวอร์แซลเช่าไว้ทั้งอาคารเพื่อใช้เป็นบับเบิลที่ควบคุมอย่างเข้มงวด netflix movie
สำหรับเรื่องย่อ ๆ ในภาคนี้ ก็จะเริ่มดำเนินเรื่อง 4 ปีให้หลังจาก ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ เกาะ ‘อิสลา นูบลาร์’ (Isla Nublar) ที่ตั้งดั้งเดิมของสวนสนุกจูราสสิก เวิลด์ ถูกทำลายเพราะถูกภูเขาไฟถล่ม ไดโนเสาร์ทั้งหลายถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติ (ตรงตามชื่อจูราสสิก เวิลด์ซะทีสินะ…) ‘โอเวน เกรดี’ (Chris Pratt) ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมไดโนเสาร์ ‘แคลร์ เดียริง’ (Bryce Dallas Howard) อดีตนักวิจัยไดโนเสาร์ และน้อง ‘เมซี ล็อกวูด’ (Isabella Sermon) ปลีกวิเวกอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านกลางป่าลึก
ส่วนน้องบลู ไดโนเสาร์แรปเตอร์สีน้ำเงิน ก็มีลูกแล้วด้วยตอนนี้ ในภาคนี้ ทั้งสามคนจึงต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาครองโลกอีกครั้งของไดโนเสาร์ที่กำลังจะกลายมาเป็นจุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารแทนมนุษย์ และเผชิญหน้ากับบริษัทไบโอซิน จีเนติกส์ (BioSyn Genetics) ที่สร้างภาพว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กำลังมีแผนจะเข้ามาหาประโยชน์จากไดโนเสาร์อยู่เบื้องหลัง โดยมี ‘อดัม แกรนต์’ (Sam Neill), ‘เอียน มัลคอล์ม’ (Jeff Goldblum)), ‘เอลลี แซตเลอร์’ (Laura Dern) และ ‘ดร. เฮนรี วู’ (BD Wong) แก๊งผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิก พาร์ค มาร่วมผจญภัยหาทางหยุดยั้งวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ตัวหนังในภาคนี้ถือว่าขยายสเกลแบบเล่นใหญ่เวอร์วังทุกภาคส่วนจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งนักแสดงจากทั้งภาคเก่าภาคใหม่ พันธุ์ไดโนเสาร์ที่หลากหลายมากที่สุด และอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจากนักบรรพชีวินวิทยาแล้วเรียบร้อย (ส่วนบางตัวนี่ก็อัปเกรดเกินเบอร์ไปหน่อยนะ) รวมทั้งการผสมผสานระหว่าง CGI กับหุ่นกลไกไดโนเสาร์เสมือนจริง หรือแอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) ที่นำมาใช้มากที่สุดในไตรภาคแล้ว รวมทั้งการถ่ายทำในหลาย ๆ โลเคชัน หลากภูมิประเทศจากทุกมุมโลก netflix movie
อีกจุดที่ถือว่าน่าสนใจก็คือ บทภาพยนตร์จากฝีมือของเทรวอร์โรว์และ ‘เอมิลี คาร์ไมเคิล’ (Emily Carmichael) ที่เคยร่วมปูทางด้วยการเขียนบทและกำกับหนังสั้นเรื่อง ‘Jurassic World: Battle at Big Rock’ (2019)* มาก่อนแล้ว ก็เลยทำให้มีวัตถุดิบที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ของหนัง ที่จั่วหัวตอนเปิดเรื่องไว้แบบเข้ม ๆ และน่าสนใจ ทั้งการที่ไดโนเสาร์อยู่ร่วมกับธรรมชาติและมนุษย์ ที่ส่งผลต่อโลก ธรรมชาติ และวิถีชีวิตมนุษย์ในโลกยุคออนไลน์ราวกับโควิด-19 ก็มิปาน หนัง netfilx
รวมทั้งประเด็นการที่มนุษย์หาประโยชน์จากไดโนเสาร์ ที่คราวนี้ไม่ได้แค่เอาไปขายเป็นตัว ๆ แต่พยายามจะเอาเทคโนโลยีมาแอบอ้างหาประโยชน์ใหัตัวเอง และพยายามดัดแปลงไดโนเสาร์ให้มีคุณสมบัติอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบโดยรวม ทำให้บางครั้ง มนุษย์ที่มักมองตัวเองเป็นผู้ล่า แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์เองก็หลงลืมไปเหมือนกันว่า บางครั้งตัวมนุษย์เองนี่แหละก็ทำตัวเองให้กลายเป็นผู้ถูกล่าได้เหมือนกันนะ
ความเอาอยู่ของผู้กำกับอีกอย่างคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ถือว่าสามารถคุมไดนามิกได้น่าสนใจครับ เป็นการอัปเกรดจากตัวหนังที่เคยเป็น Action Adventure ในเกาะปิดตาย แต่คราวนี้ตัวละครหลักจะได้ออกไป Adventure พบเจอกับงานด้าน Action ทั้งจากไดโนเสาร์และจากมนุษย์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่องก็ซัดแอ็กชันสับตีนแตกให้ได้ลุ้นกันแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนช้า และสับเกียร์เร่งเครื่องผ่อนช้าผ่อนเร็วไปตลอดเรื่อง หนัง netfilx
แถมยังผสมความสยองขวัญจากไดโนเสาร์ ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะของแฟรนไชส์นี้เข้าไปด้วย แม้ตัวหนังจะพึ่งพาเทคนิค Jump Scare เยอะหน่อย แต่ก็ถือว่าวางจังหวะให้ได้สะดุ้งวาบได้รุนแรงกว่าภาคก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัดเลย แถมยังแอบใส่แฟนเซอร์วิสและมุกจาก Jurassic Park ภาคเก่า ๆ เอาไว้ให้สังเกต พร้อมกับงานด้านภาพที่ชวนว้าวในหลาย ๆ ช็อตทั้งหมดนี้ผู้กำกับสามารถคุมตัวหนังให้สนุก ตื่นเต้น เล่นใหญ่ ระทึกขวัญ และแก้ซ่อมจุดผิดพลาดจากสองภาคแรกได้ถือว่าค่อนข้างเอาอยู่เลยครับ